เคล็ดลับการถ่ายรูปสินค้า 10 ประการ

บทความ “เคล็ดลับการถ่ายรูปสินค้า 10 ประการ” โดย JRS Photography

ในโพสต์นี้ JRS Photography ขอแนะนำ 10 เคล็ดลับการถ่ายรูปสินค้า เพื่อการนำเสนอทางออนไลน์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดขายให้ร้านค้าอีคอมเมิร์ซได้ครับ เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า เมื่อกระทำอย่างถูกต้อง การถ่ายรูปสินค้าช่วยทำให้สินค้าสะดุดตาและดึงดูดใจลูกค้า ตลอดจนสามารถช่วยสื่อสารเอกลักษณ์ของแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักได้นะครับ รูปถ่ายสินค้ามีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อธุรกิจออนไลน์ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเพราะผู้คนเปลี่ยนไปซื้อของออนไลน์มากขึ้น ผู้ซื้อส่วนใหญ่มักจะไม่เคยเห็นสินค้าด้วยตนเอง (จนกว่าร้านจะส่งมอบสินค้า) ทว่า ผู้คนกว่าสองพันล้านคนซื้อสินค้าออนไลน์ในปี 2020 และ ด้วยตัวเลขนี้ที่ยังจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การรักษาความสามารถในการแข่งขันด้วยรูปภาพในโลกออนไลน์ยังเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ

เคล็ดลับการถ่ายรูปสินค้า-02การถ่ายรูปสินค้าและการนำรูปเหล่านั้นมาเผยแพร่ทางออนไลน์เป็นเรื่องที่ดี แต่การสร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจผ่านรูปถ่ายสินค้าอาจมีหลายอย่างที่จะต้องพิจารณา แม้ว่าสินค้าของคุณจะเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคกำลังมองหา คุณอาจจะต้องพิจารณาว่าจะสามารถดึงดูดใจ และ ดึงดูดสายตาผู้ซื้อเป้าหมายได้อย่างไร โพสต์นี้จะกล่าวถึงแนวคิดหลายประการเกี่ยวกับการเพิ่มความน่าสนใจให้กับรูปถ่ายสินค้า และ ส่งเสริมการจดจำแบรนด์ รวมถึงการรับรู้ถึงธุรกิจด้วยครับ เรามาเริ่มกันเลย!

1. เลือกใช้กล้องและเลนส์ให้เหมาะสม (ข้อนี้เป็น เคล็ดลับการถ่ายรูปสินค้า ที่สำคัญมาก)

คุณสามารถใช้กล้องสมาร์ทโฟนเพื่อถ่ายรูปสินค้าได้ครับ ซึ่งในตอนนี้เป็นเรื่องปกติมากที่สมาร์ทโฟนต่างๆ มาพร้อมกับกล้องระดับมืออาชีพ เลนส์หลายชนิด รูรับแสง และ ISO ที่ปรับค่าได้ แต่หากคุณจะใช้สมาร์ทโฟนเพื่อถ่ายรูปสินค้า ก็ควรจะลเอกใช้สมาร์ทโฟนที่ค่อนข้างใหม่ กล้องของสมาร์ทโฟนควรมีความละเอียดที่สูงกว่า 12 เมกะพิกเซล จึงสามารถขยายรูปภาพได้ขนาดพอดี และ ไม่เสียรายละเอียด และหากคุณต้องการใช้กล้องสมาร์ทโฟนในการถ่ายรูปสินค้าในระยะยาว คุณควรลงทุนกับอุปกรณ์เสริม เช่น เลนส์สมาร์ทโฟน ซึ่งสามารถปรับปรุงคุณภาพของรูปภาพได้ครับ ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความคมชัดของรูปภาพ และ เพิ่มขีดความสามารถในการควบคุมการตั้งค่า การซื้อ หรือ เช่ากล้อง DSLR หรือ Mirrorless สำหรับการถ่ายรูปเป็นเรื่องที่คุ้มค่าครับ และควรซื้อเลนส์มาตรฐานคุณภาพสูง ที่มีจุดโฟกัส (Focal Point) ไม่ต่ำกว่า 50–55 มม. เนื่องจากถ้าใช้ Focal Point ที่ต่ำกว่านี้อาจทำให้รูปภาพบิดเบี้ยว และ ทำให้เกิดปัญหาในขั้นตอนการแก้ไขรูปภาพได้ครับ

2. ทดลองการจัดแสงหลายๆ แบบ

มีสองตัวเลือกเกี่ยวกับแสงในการถ่ายรูปสินค้าให้คุณเลือกครับ ได้แก่ ไฟสตูดิโอ และ แสงธรรมชาติ ในส่วนของไฟสตูดิโอ คุณอาจจะต้องจัดหาอุปกรณ์ไฟ ซึ่งสามารถหาซื้อได้ไม่ยาก และ อุปกรณ์เล่านี้สามารถทำได้ตั้งแต่การตั้งค่าเล็กๆ น้อยๆ ต่างๆ ไปจนถึงการตั้งค่าแบบมืออาชีพสำหรับใช้งานอย่างเต็มรูปแบบ ไฟสตูดิโอจะช่วยให้คุณควบคุมลักษณะแสง และ เงาที่จะปรากฏในรูปภาพได้อย่างสมบูรณ์ ไฟสตูดิโอเป็นวิธีที่ดีสำหรับการถ่ายรูปสินค้าหลายรายการและต้องการให้รูปมีแสงในลักษณะที่สอดคล้องกัน

แม้ไฟสตูดิโอดูจะมีข้อดีหลายประการ แต่แสงธรรมชาติก็เหมาะสมในหลายๆ กรณีครับ คุณอาจจะลองสังเกตว่าการถ่ายรูปในช่วงเวลาต่างๆ ของวัน ส่งผลต่ออารมณ์ที่รูปภาพสื่อสารออกมาอย่างไร แสงธรรมชาติ และ การถ่ายรูปภายนอกอาคาร มีประโยชน์อย่างยิ่งในการเพิ่มบริบทให้กับสินค้าที่ใช้งานกลางแจ้ง อุปกรณ์บางประเภทสามารถเปลี่ยนวิธีที่แสงไปถึงสินค้าได้ ตัวอย่างเช่น ซอฟต์บ็อกซ์ หรือ ไลท์บ็อกซ์ สามารถป้องกันเงาบนสินค้าไม่ให้แรงเกินไป ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าแสงตกกระทบสินค้าอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ซอฟต์บ็อกซ์ หรือ ไลท์บ็อกซ์สามารถจำลองแสงธรรมชาติที่นุ่มนวลขึ้น อย่างไรก็ตาม หากคุณพบมุมแสงที่ชอบ แต่ไม่มีเวลาถ่ายรูปให้ครบก่อนที่แสงจะเปลี่ยนไป คุณสามารถสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้ด้วยไฟสตูดิโอครับ ถ้าเป็นไปได้ในแง่ของเวลา และ ทรัพยากร คุณควรจะลองใช้แสงทั้งสองแบบ เพื่อค้นหาว่าแบบใดที่สื่อถึงความรู้สึกของแบรนด์ได้แม่นยำที่สุด แต่คุณไม่ควรใช้แหล่งกำเนิดแสงทั้งสองในรูปภาพเดียวนะครับ

3. เลือกใช้เงาให้เหมาะสม

เงาช่วยเพิ่มเรื่องราวให้กับรูปถ่ายสินค้าได้ แต่เงาเองก็อาจเป็นอุปสรรคในการรูปถ่ายเมื่อใช้แสงธรรมชาติได้เช่นกัน ในกรณีการใช้แสงธรรมชาติ การหาวิธีจัดองค์ประกอบรูปภาพอาจเป็นเรื่องยาก คุณอาจหามุมที่ไม่ทำให้เกิดเงา แต่มุมดังกล่าวอาจทำลายรูปภาพได้อย่างสมบูรณ์ หรือ เปลี่ยนตำแหน่งที่จุดโฟกัสไปจากที่คุณคาดหวังไว้ ในการเลือกใช้เงาให้เหมาะสม มีข้อสำคัญ 2 ประการที่คุณต้องคำนึงถึง ได้แก่ ตำแหน่งที่คุณยืน และ เงาที่กล้องคุณสามารถเห็นได้จากจุดที่คุณยืน อย่างไรก็ดี เมื่อจัดองค์ประกอบอย่างเหมาะสม เงาสามารถเพิ่มความลึก และ มิติให้กับรูปภาพได้ ทำให้รูปภาพน่ามองยิ่งขึ้นครับ

4. ศึกษาการใช้โปรแกรมปรับแต่งภาพ (ข้อนี้เป็น เคล็ดลับการถ่ายรูปสินค้า ที่สำคัญมาก)

มีโปรแกรมปรับแต่งภาพอยู่มากมายครับ ตั้งแต่ฟรีไปจนถึงราคาหลายพันบาท (หลักหมื่นก็มี) การใช้โปรแกรมปรับแต่งภาพเป็นสิ่งที่คุ้มค่าครับ คุณอาจลองหาบทเรียนฟรีในอินเตอร์เน็ตเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการใช้โปรแกรมปรับแต่งภาพให้ตรงตามความต้องการของคุณ การเรียนในลักษณะนี้ (ไม่ว่าจะเป็นแบบจ่ายเงินหรือฟรี) จะช่วยสร้างทักษะการแก้ไขและปรับแต่งภาพระดับมืออาชีพใหแก่ตัวคุณเอง ซึ่งสามารถสร้างแนวคิดเพิ่มเติมให้กับสไตล์การถ่ายรูปของคุณได้อีกมากมาย โปรแกรมแก้ไขรูปภาพช่วยทำให้รูปภาพที่แสดงนั้นดูสมจริงได้ ตัวอย่างเช่น หากสินค้าเป็นสีเขียว และ รูปภาพที่กล้องถ่ายได้นั้นออกมาเป็นสีน้ำเงิน การปรับสีของรูปภาพเป็นสิ่งที่ดีซึ่งช่วยให้รูปภาพจะดูใกล้เคียงกับสินค้าจริงมากขึ้น Filter องอาจทำให้เกิดปัญหาได้ เช่น Filter ใน Instagram อาจเปลี่ยนสีของรูปภาพ ซึ่งอาจทำให้ภาพลักษณ์แบรนด์ออกมาในลักษณะที่ไม่น่าไว้วางใจ นอกจากนี้ยังดูเหมือนว่าคุณกำลังซ่อนอะไรบางอย่างเกี่ยวกับสินค้า อาจทำให้ผู้ซื้อตั้งคำถามถึงคุณภาพ ทั้งนี้ จุดสำคัญที่สุดในการปรับแต่งรูปถ่ายสินค้า คือ คุณต้องไม่บิดเบือนลักษณะที่แท้จริงของสินค้านะครับ

5. เลือกพื้นหลังและองค์ประกอบให้เหมาะสม

แม้ว่าพื้นหลังของรูปภาพจะสะท้อนถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์ แต่สิ่งที่คุณควรทำ คือ การสร้างความสอดคล้องกันของพื้นหลังรูปถ่ายสินค้า หรือ ธีมคอลเลกชันนั้นๆ หลายๆ บริษัทเลือกใช้พื้นหลังสีเดียวที่เรียบง่าย ดังนั้นสินค้าที่ถูกนำเสนอจึงเป็นจุดโฟกัสหลัก ในการใช้พื้นหลังสีขาวที่ว่างเปล่า สิ่งสำคัญที่จะต้องพิจารณา คือ การใช้เงา และ เงาสะท้อน หากคุณใช้พื้นหลังที่มีองค์ประกอบต่างๆ สิ่งที่คุณต้องคำนึงถึง คือ รูรับแสงและความชัดตื้นหรือชัดลึกของภาพ จุดสำคัญของการถ่ายรูปสินค้า คือ การดึงดูดความสนใจไปที่สินค้า กล้องหลายตัวมี Grid ที่สามารถแสดงว่าสินค้าอยู่ในจุดศูนย์กลางของรูปหรือไม่ การใช้รูรับแสงเพื่อสร้างระยะชัดลึกต่ำสามารถช่วยสร้าง Perspective ได้ด้วย การจัดองค์ประกอบเป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มความน่าสนใจให้กับรูปภาพ และ บ่งบอกให้ผู้ซื้อทราบเกี่ยวกับขนาดของสินค้า โดยในขณะเดียวกัน ก็ดึงดูดความสนใจของผู้ซื้อด้วยครับ

6. ปรับรูรับแสงให้เหมาะสม

รูรับแสง (Aperture หรือ ค่า ƒ) หมายถึง ความกว้างของรูปรับแสงในเลนส์ขณะถ่ายรูป และ ปริมาณแสงที่จะผ่านเข้าไปถึง Sensor ได้ รูรับแสงจะแสดงในรูปของ ƒ/stop และ เขียนเป็นตัวเลข เช่น 1.4 หรือ 11 ยิ่ง ƒ/stop ต่ำ รูรับแสงจะใหญ่ และ การเปิดรับแสงก็จะสูงขึ้น รูรับแสงส่งผลต่อระยะชัดลึก ดังนั้นจึงมีความสำคัญต่อการถ่ายรูปสินค้าที่มีองค์ประกอบต่างๆ ในพื้นหลัง ƒ/stop ที่ต่ำกว่าพร้อมช่องเปิดเลนส์ที่ใหญ่ขึ้นจะทำให้ระยะชัดลึกน้อยลง ดังนั้น พื้นหลังจึงเบลอหรือพร่ามัว ช่วยสร้างเอฟเฟ็กต์โบเก้ (Bokeh)ที่ช่างภาพหลายๆ คน ใช้กัน ƒ/stop ที่สูงขึ้นจะสร้างแบ็คกราวด์ที่คมชัดโดยไม่สูญเสียโฟกัสครับ

7. ปรับความเร็วชัตเตอร์ให้เหมาะสม

ความเร็วชัตเตอร์ คือ ความเร็วที่ชัตเตอร์เปิด และ ปิดขณะถ่ายรูป ส่งผลต่อปริมาณแสงผ่านเลนส์เข้ามายัง Sensor หากคุณต้องการเปลี่ยนความเร็วชัตเตอร์ ก็ควรปรับรูรับแสง หรือ แหล่งกำเนิดแสงของรูปภาพให้เหมาะสมด้วย การใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำในห้องที่มีแสงสว่างเพียงพออาจจะทำให้ภาพมีแสงจ้ามากเกินไป การความเร็วชัตเตอร์ที่เร็ว ที่ระดับแสงที่เหมาะสมจะทำให้ให้รูปภาพคมชัดครับ

8. ใช้ ISO ให้เกิดประโยชน์

ISO คือ การตั้งค่ากล้องที่จะปรับเปลี่ยนความไวแสงของเซ็นเซอร์ของกล้อง ตัวเลขที่สูงขึ้นทำให้กล้องไวต่อแสงมากขึ้น ช่วยให้ถ่ายรูปในที่แสงน้อยได้โดยไม่จำเป็นต้องลดความเร็วชัตเตอร์ อย่างไรก็ตาม ISO ที่สูงขึ้นยังทำให้รูปภาพมีเกรนหรือ Noise มากขึ้น และทำให้ความคมชัดลดลง การจัดแสง รูรับแสง และ ความเร็วชัตเตอร์ที่เหมาะสม ทำให้สามารถถ่ายรูปด้วย ISO ที่ต่ำ ซึ่งส่งผลให้จะเกิด Noise น้อยลง อย่างไรก็ตาม สินค้าบางอย่างอาจต้องถ่ายในที่แสงน้อย ซึ่งอาจต้องใช้ ISO ที่สูงขึ้น เมื่อรวมสิ่งนี้เข้ากับการตั้งค่าอื่นๆ ที่เหมาะสม และ โปรแกรมปรับแต่งรูปภาพ คุณจะยังสามารถถ่ายรูปสินค้าคุณภาพสูงและชัดเจนได้แม้ในที่ๆ มีแสงน้อยก็ตามครับ

9. ลงทุนกับขาตั้งกล้องสัก 1 อัน (ข้อนี้เป็น เคล็ดลับการถ่ายรูปสินค้า ที่สำคัญมาก)

ขาตั้งกล้อง (Tripod) อาจดูเหมือนไม่จำเป็นสำหรับหลายคนที่คิดว่าสามารถถือกล้องให้นิ่งได้ ซึ่งก็อาจจะจริงในกรณีที่คุณต้องถ่ายรูปเพียงไม่กี่รูป อย่างไรก็ตาม เมื่อแบรนด์ของคุณเติบโต และ แคตตาล็อกสินค้าใหญ่ขึ้น ขาตั้งกล้องจะมีความสำคัญมากขึ้นในการถ่ายรูป ขาตั้งกล้องมีความสำคัญในเชิงที่ว่า หากใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำในรูปถ่ายสินค้า ตัวกล้องจะต้องไม่มีการเคลื่อนไหวเลย เพราะจะทำให้รูปภาพเบลอ แม้ว่าคุณจะใช้สมาร์ทโฟนเพื่อถ่ายรูป คุณควรมีขาตั้งกล้องที่เข้ากันได้กับสมาร์ทโฟนด้วยครับ

10. ประยุกค์ใช้ทฤษฎีสี

จากการศึกษาในต่างประเทศ พบว่าผู้บริโภคใช้เวลาน้อยกว่า 90 วินาที ในการตัดสินเกี่ยวกับสินค้าใดสินค้าหนึ่ง ร้อยละ 85 ของผู้บริโภคกล่าวว่าสีเป็นเหตุผลหลักในการซื้อสินค้า และ ร้อยละ 80 ของผู้บริโภคยังกล่าวว่าสีช่วยเพิ่มการจดจำแบรนด์ การคำนึงถึงสีที่ใช้ในรูปถ่ายสินค้าจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เมื่อคุณใช้สีสำหรับพื้นหลัง คุณควรถามตัวเองว่าทำไมคุณถึงใช้สีนี้ และ หากคุณค้นคว้าเกี่ยวกับทฤษฎีสี หรือ จิตวิทยาสีเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย คุณจะสามารถตอบคำถามนี้ โดยให้เหตุผลว่าคุณต้องการให้ผู้ซื้อมีพฤติกรรมอย่างไรต่อรูปถ่ายสินค้าของคุณ ประเด็นหลักที่ต้องทำความเข้าใจ และ นำไปใช้ คือ สีที่เข้ากันได้ดี ระดับความอิ่มตัวของสี และ การจับคู่สี นอกจากนี้ คุณควรติดตามแนวโน้มของสินค้าที่คล้ายคลึงกันกับสินค้าของคุณ เพื่อดูว่าคุณสามารถทำอะไรต่อยอดให้สินค้าคุณโดดเด่นในแง่ของสีสันได้หรือไม่ครับ


เคล็ดลับการถ่ายรูปสินค้า-01ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม
รับถ่ายรูปสินค้า 📷

LINE ID: @538sdzng
โทร 086-966-6909
Email: jrs@jaratsri.com

 


Posted

in

by

Tags: